เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ เป็นเป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกัน เขาฆ่าคนบริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมากในระหว่างปี 1978 – 1991 รวมทั้งมีพฤติกรรมสุดจิตทั้ง ชำแหละศพ กระทำชำเราศพ และกินเนื้อมนุษย์
ชีวิตวัยเด็กของ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์
ชีวิตวัยเด็กของ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ โดยทั่วๆ ไปไม่ได้แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ มากมายนัก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเริ่มโตขึ้น เขาก็เริ่มหลีกเลี่ยงสังคมและตัดขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งถือเป็นสัญญาณแรกเริ่มของฆาตกรต่อเนื่องหลายราย เขาเริ่มหมดความสนใจในการหางานอดิเรก หรือพบปะผู้คนอย่างชัดเจนในช่วงวัยรุ่น หันมาสนใจในซากสัตว์ที่ตายแล้ว และติดสุราอย่างหนัก เขาดื่มอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตไฮสคูล (มัธยมปลาย) แต่เขาก็สามารถจบการศึกษาได้ในปี 1978
ซึ่งเป็นเวลาเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้นก่อนที่เขาจะลงมือกับเหยื่อรายแรก
ดาห์เมอร์ ในวัย 18 ปี อยู่ในสถานการณ์ที่พ่อแม่กำลังอยู่ในระหว่างการหย่าร้าง และเขาถูกทิ้งให้อยู่บ้านตัวคนเดียวในฤดูร้อนนั้น เขาเลยฉวยโอกาสทดลองสิ่งที่เขาได้คิดอยู่ในหัวมาซักระยะหนึ่งแล้ว
เขาได้รับคนที่กำลังโบกรถอยู่ข้างทางรายหนึ่ง ชื่อว่า สตีเว่น ฮิกส์ (Steven Higs) และเสนอว่าจะพาไปเลี้ยงเบียร์ที่บ้านพ่อของเขา เมื่อ ฮิกส์ ตัดสินใจกำลังจะกลับ ดาห์เมอร์ ก็ทุบท้ายทอย ฮิกส์ ด้วยดัมเบลขนาด 4.5 กิโลกรัม จากนั้นก็ทำการชำแหละ แยกชิ้นส่วน และฝั่งร่างของ ฮิกส์ ไว้ที่สวนหลังบ้านของเขา ในตอนหลัง ดาห์เมอร์ ให้การสารภาพว่าที่เขาฆ่า ฮิกส์ ก็เพราะว่าอยากให้เขาอยู่ต่อ
หลังจาก สตีเว่น ฮิกส์ ดาห์เมอร์ ไม่ได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงใดๆ เป็นเวลาถึง 9 ปี และรายที่ 2 ของเขาก็มาถึง
จุดเริ่มต้นของการกินเนื้อมนุษย์ของ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์
หลังจากนั้นไม่นาน ดาห์เมอร์ ก็เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย แต่ไม่สามารถเรียนให้จบได้ด้วยพฤติกรรมการติดสุรา พ่อของเขาจึงส่งเขาไปรับราชการทหาร ดาห์เมอร์ ได้อยู่หน่วยแพทย์ประจำการที่เยอรมนีระหว่างปี 1979 – 1981 แต่ด้วยพฤติกรรมของนั่นเองทำให้เขาถูกปลดประจำการในเวลาต่อมา
พ่อเขาถึงส่งเขาไปอยู่กับยายในรัฐวิสคอนซิน ในระหว่างที่อาศัยอยู่ในวิสคอนซิน ดาห์เมอร์ ได้รู้จักพื้นที่อาบน้ำสำหรับเกย์ (Gay bathhouse) เขาเริ่มไปที่นั่นบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 1985 เขาวางยาชายคนหนึ่งและทำการข่มขืนในขณะที่ชายคนนั้นหมดสติ
ในเดือนกันยายน 1987 ดาห์เมอร์ ได้เจอกับชายคนหนึ่งชื่อว่า สตีเว่น ทูโอมิ (Steven Tuomi) ในบาร์แห่งหนึ่งและพาเขากลับมาที่โรงแรม ก่อนที่เช้าวันต่อมาเขาจะตื่นมาข้างๆ กับร่างไร้วิญญาณของ ทูโอมิ ในสภาพที่โดนทำร้ายร่างกายอย่างหนัก ซึ่งในภายหลังเขากล่าวว่าเขาไม่มีความทรงจำว่าได้ทำการฆาตกรรม ทูโอมิ เลยซักนิด
ดาห์เมอร์ ได้ทำการฆาตกรรมอีก 2 รายในปี 1988 1 รายในปี 1989 และอีก 4 รายในปี 1990 โดยเหยื่อทุกรายของเขาถูกล่อลวงมาจากบาร์หรือไม่ก็จ่ายเงินล่อให้มาที่ห้องของดาห์เมอร์ ก่อนที่เขาจะวางยาเหยื่อเหล่านั้น ข่มขืนพวกเขา และจบด้วยการบีบคอให้เสียชีวิต ซึ่งเมื่อถึงเหยื่อรายที่ 4 ในปี 1990 ดาห์เมอร์ เริ่มมีความรู้สึกบางอย่างหลังจากฆาตกรรม
**เนื้อหาต่อไปนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**
หลังจากทำการฆาตกรรมเหยื่อเสร็จแล้ว ดาห์เมอร์ ไม่ได้ทำการกำจัดศพทิ้งทันทีอีกต่อไป เขาเริ่มเก็บศพไว้กระทำชำเราในเวลาต่อมา ถ่ายภาพขณะหั่นศพ นอกจากนั้นเขายังเก็บกระโหลกและอวัยวะเพศของเหยื่อไว้สำหรับการตั้งโชว์ และอวัยวะบางส่วนก็เก็บไว้สำหรับการบริโภคอีกด้วย
กฎหมายที่ไล่ไม่ทันอาชญกร
ในช่วงระยะหลังฆาตกรรมเหยื่อรายที่ 12 เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ถูกจับข้อหาวางยาและล่อลวงเด็กอายุ 13 ปี ศาลพิจารณาให้รอลงอาญา 5 ปีและถูกปล่อยตัวเพื่อการทำงาน (work release – เป็นโปรแกรมสำหรับนักโทษที่มีความประพฤติดี สามารถออกไปทำงานข้างนอกได้โดยมีเจ้าหน้าคอยเฝ้าระวัง และกลับเข้าเรือนจำเมื่อเลิกงาน นโยบายจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ) เป็นระยะเวลาอีก 1 ปี
ดาห์เมอร์ ถูกปล่อยตัวจากโปรแกรมก่อนกำหนด 2 เดือน เพราะมีความประพฤติดีและย้ายไปอยู่ในอพาร์ทเมนท์ใน มิลวอล์คกี้ (Milwaukee) ในเดือนพฤษภาคม 1990 และมีคำสั่งให้รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่เป็นประจำ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังมีอิสระเพียงพอที่จะทำการฆาตรกรรมเหยื่ออีก 4 รายในปี 1990 และอีก 8 รายในปี 1991
ในทุกๆ สัปดาห์ในฤดูกาลปี 1991 จะมีคนที่ตกเป็นเหยื่อ ดาห์เมอร์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 คน เขาเริ่มมีความคิดเพิ่มเติมว่าเขาสามารถทำให้เหยื่อของเขากลายเป็น “ซอมบี้” เพื่อที่จะได้กลายเป็นคู่นอนของเขาในวัยเยาว์ตลอดเวลา จนคนข้างห้องเริ่มทำการร้องเรียนว่าห้องของ ดาห์เมอร์ มีทั้งเสียงประหลาดและกลิ่นเหม็นเน่าอยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเหยื่อของเขาที่ถูกทำการทดลองกับสมองไปแล้ว สามารถหนีออกมาได้แล้วขอความช่วยเหลือคนข้างนอก ผู้คนที่พบเห็นต่างก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเพราะดูเป็นคนไม่สมประกอบ เมื่อ ดาห์เมอร์ กลับมาเห็นตำรวจกำลังสอบสวนเหยื่ออย่างยากลำบากอยู่ ดาห์เมอร์ ก็เข้าไปแจ้งว่าคนๆ นี้เป็นแฟนหนุ่มของเขาที่กำลังเมาจัดแค่นั้น และตำรวจก็ไม่ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนที่จะปล่อยทั้งคู่ไป ความหวังที่จะรอดของเหยื่อก็เหือดหายไปทันที
การจับกุมเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ข้อหาฆาตกรรม (ซักที)
ในเดือนกรกฎาคมปี 1991 ดาห์เมอร์ ล่อลวงชายคนหนึ่งตามเคย เหยื่อรายนี้ชื่อว่า เทรซี่ เอ็ดเวิร์ดส (Tracey Edwards) ก่อนที่เมื่อถึงห้อง ดาห์เมอร์ ไม่รีรอ ควงอีโต้ขึ้นมาและบังคับให้ เอ็ดเวิร์ดส เข้าไปในห้อง โชคดีที่ เอ็ดเวิร์ดส สามารถหนีออกมากได้ และโชคดีชึ้นไปอีกเมื่อเขาเจอกับรถตำรวจพอดี
เอ็ดเวิร์ดส แจ้งตำรวจว่า ดาห์เมอร์ พยายามจะฆ่าเขา ตำรวจก็พากันไปบุกห้องของ ดาห์เมอร์ ทันทีและได้พบเข้ากับรูปถ่ายการหั่นศพที่ ดาห์เมอร์ ได้ถ่ายไว้เป็นหลักฐานให้เรียบร้อย นอกจากนั้นยังพบกระโหลกและศีรษะมนุษย์ในตู้เย็นและรอบๆ อพาร์ทเมนท์ และเศษชิ้นส่วนมนุษย์กระจายอยู่ภายในห้อง
ดาห์เมอร์ ถูกจับทันที และให้การสารภาพทุกอย่างอย่างไม่ปิดบังต่อทางการ
หลังจากการพิจาณา ศาลพิพากษาให้ ดาห์เมอร์ มีความผิดฐานฆาตกรรม 15 ศพ แม้หลักฐานจะดูเหมือนมีมากกว่านั้นก็ตาม ดาห์เมอร์ ให้การว่าเขาจิตใจไม่ปกติ และมีอาการขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างรุนแรง แต่อย่างไรก็ตาม หลังการพิจารณาคดีนานกว่า 2 สัปดาห์ ศาลเห็นว่า ดาห์เมอร์ มีจิตใจปกติดี และสั่งจำคุกเป็นจำนวน 957 ปี และในเวลาต่อมา ก็มีคำร้องต่อศาลเพิ่มเติมว่ามีอีกรายที่ไม่ได้ถูกนับเข้าไปในการพิจารณา เหยื่อรายแรกของเขา สตีเว่น ฮิกส์ หลังจากนั้นศาลจึงสั่งจำคุกตลอดชีวิต
วาระสุดท้ายของ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์
ในระหว่างที่ถูกจำคุกอยู่ในทัณฑสถานโคลัมเบีย รัฐวิสคอนซิน ดาห์เมอร์ พยายามแสดงออกตลอดเวลาว่าเขานึกเสียใจกับการกระทำของเขา และขอให้ลงโทษเขาด้วยการประหารชีวิต แต่คำร้องของเขาก็ถูกปฏิเสธ
ในเวลาต่อมาเขาถูกนักโทษคนอื่นๆ รุมทำร้ายจนเกือบถูกปาดคอ แม้เขาจะรอดในเหตุการณ์นั้น ที่คอของเขาก็ยังหลงเหลือร่องรอย แต่ไม่นานเขาก็ถูกทำร้ายอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนปี 1994 ในขณะที่เขากำลังทำความสะอาดบริเวณอาบน้ำ เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง ดาห์เมอร์ ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เสียชีวิตไม่นานหลังจากนั้นในระหว่างการพาตัวไปโรงพยายาลจากอาการหัวกระแทกอย่างรุนแรง
เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ทำให้อเมริกาขวัญผวากันทั้งประเทศ และเรื่องราวของเขา แม้จะผ่านตัวอักษรก็ยังดูรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างสูง
เรื่องราวของเขาเคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์มาแล้วหลายครั้ง แต่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดก็เป็นเวอร์ชั่นปี 2002 นำแสดงโดย เจเรมี่ เรนเนอร์ และ 20 ปีผ่านไป เรื่องราวของ ดาห์เมอร์ กลับมาหลอกหลอนอีกครั้งกับซี่รี่ Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story ที่กำลังฉายอยู่ใน Netflix ณ ตอนนี้