ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรักสุนัขหรือไม่ แต่ถ้าคุณเป็นคนไทยจะต้องเคยได้ยินหรือเคยเห็นสุนัขสายพันธุ์บางแก้วอย่างแน่นอน เพราะเหมือนเป็นสายพันธุ์ที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนานพอๆ กับพันธุ์ไทยหลังอาน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ FCI (Fédération Cynologique Internationale) หรือสมาพันธ์สุนัขโลก ได้ให้สุนัขพันธุ์บางแก้วได้รับการจดทะเบียนเป็นสุนัขโลก เป็นสายพันธุ์ไทยสายพันธุ์ที่ 2 ต่อจากพันธุ์ไทยหลังอาน
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับบางแก้วกัน ว่าเป็นมาอย่างไรถึงได้รับการยอมรับในระดับโลกได้ ไปกันเลย!
ถิ่นกำเนิดพันธุ์บางแก้ว
บางแก้วเป็นวง 2 พี่น้อง บาส กับ บอล.. ใช่ที่ไหน!! จริงจังละๆ สุนัขสายพันธุ์บางแก้วมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หมู่บ้านบางแก้ว ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งคาดกันว่าเป็นพันธุ์ลูกผสมระหว่างสุนัขพันธุ์ไทยพื้นบ้านกับสุนัขป่าหรือสุนัขจิ้งจอกพื้นถิ่น เพราะสมัยก่อนบริเวณนี้เป็นสภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นป่ารก
ลักษณะเด่นของสายพันธุ์บางแก้ว
- บางแก้วเป็นสายพันธุ์สุนัขขนาดกลาง ไม่ตัวเล็กหรือตัวใหญ่เกินไป หลังขนานกับพื้น รูปทรงตั้งแต่ขาหน้าจนถึงขาหลังเป็นเหมือนสี่เหลี่ยมจัตุรัส อกและไหล่กว้าง ท้องไม่คอด ลำตัวหนาปานกลาง
- ขนยาวหนาวเป็นสองชั้น มีขนแผงคอคล้ายสิงโต หางเป็นพวงสวยงาม ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ได้รับสืบทอดมาจากสุนัขจิ้งจอก
- บางตัวจะมีขนสีขาวรอบปากเหมือนกรวย หรือที่เรียกว่า ‘ปากคาบแก้ว’ ซึ่งจะถือว่าเป็นลักษณะที่ดี สวยงาม
- หน้าแหลม หูเล็ก และมีโคนหูที่อยู่ห่างกันมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งลักษณะของโครงหน้าก็สามารถแยกย่อยออกไปได้อีก 3 แบบ
- หน้าเสือ – โครงกระโหลกใหญ่ หน้าผากกว้าง มีขนแผงคอประมาณหนึ่งแต่ไม่รอบ มีทั้งหางฟูและไม่ฟู รวมถึงหางม้วนและไม่ม้วนด้วยเช่นกัน
- หน้าสิงโต – โครงกระโหลกเล็กกว่าหน้าแบบเสือ หูเล็กตั้งตรง ขนแผงคอรอบคอ ช่วงอกจะใหญ่กว่าช่วงท้าย เท้าอูมและมีขนยาวหุ้มปลายเท้าเล็กน้อย ลักษณะเช่นนี้จะค่อนข้างหายากและมีราคาแพง
- หน้าจิ้งจอก – ใบหน้าแหลม ใบหูจะใหญ่ที่สุดในบรรดาบางแก้วด้วยกัน หางเป็นพวงและมักไม่ดุร้ายเท่าแบบอื่นๆ
การแบ่งกรุ๊ปสุนัขตาม FCI
FCI ได้แบ่งสายพันธุ์สุนัขในโลกนี้ออกเป็น 10 ประเภท ดังนี้
- สุนัขเลี้ยงสัตว์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท สุนัขเลี้ยงแกะและสุนัขปศุสัตว์ (Sheepdogs and Cattledogs) เช่น ออสเตรเลียเชฟเพิร์ด, เยอรมันเชฟเพิร์ด
- สุนัขที่เคยมีไว้เลี้ยงสัตว์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท พินเชอร์และชเนาซ์เซอร์ (Pinscher and Schnauzer), สุนัขสายพันธุ์ใหญ่ (Molossoid) และสุนัขภูเขาและปศุสัตว์สวิส (Swiss Mountain and Cattledogs) เช่น โดโก อาร์เจนติโน่ (สายพันธุ์ใหญ่) ไจแอนท์ชเนาซ์เซอร์ (สายพันธุ์หน้าหนวด – ชเนาซเซอร์)
- สุนัขพื้นที่ราบ (Terriers) เช่น บูล เทอร์เรียร์
- สุนัขที่มีลำตัวยาว (Dachshund)
- สุนัขพันธุ์เก่าแก่และสุนัขพันธุ์แหลม (primitive and Spitz) โดยพันธุ์ไทยหลังอานได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Primitive type ไปแล้วเมื่อปี 2003 และในปี 2022 นี้ สายพันธุ์บางแก้วก็ได้ถูกรับรองอยู่ในกลุ่ม Spitz type ที่มีลักษณะเด่นคือมีขน 2 ชั้น หูแหลมและหางแหลม
- สุนัขดมกลิ่น (Scent hounds) เช่น ดัลเมเชียน
- สุนัขชี้เป้า (Pointing dogs หรือ Gundogs) เช่น ฮังกาเรียนช็อตแฮร์
- สุนัขหาและเก็บเหยื่อ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท นำ (เหยื่อ) กลับโดยเฉพาะ (Retrievers), พันธุ์เชี่ยวชาญพื้นที่หญ้า (Flushing Dogs) และพันธุ์เชี่ยวชาญด้านพื้นที่ทางน้ำ (Water Dogs) เช่น โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
- สุนัขพันธุ์เล็ก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท Companion และ Toy dogs เช่น พุดเดิ้ล
- สุนัขที่ล่าจากการมอง (Sighthounds) เช่น เกรย์ฮาวด์
นาย นิยม ช่างพินิจ อดีตนายกสมาคมชมรมสุนัขบางแก้ว จังหวัดพิษณุโลก ได้กล่าวในโอกาสที่สายพันธุ์สำคัญของพื้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในครั้งนี้ว่า “คนในพื้นที่บางระกำมีการตื่นตัวมากขึ้น จากที่มองว่าสุนัขบางแก้วเป็นสุนัขธรรมดา แต่วันนี้ไม่ธรรมดาอีกต่อไป เพราะทั่วโลกยอมรับในสายพันธุ์บางแก้วแล้ว ขณะที่ราคาจำหน่ายปัจจุบันนี้ประมาณ 3,000-4,000 บาท แต่สำหรับสุนัขที่ผ่านเวทีการประกวด หรือคอกที่ได้รับการขึ้นทะเบียน หรือสุนัขที่ได้รับการพัฒนาด้านจิตวิทยา อาจมีราคาเป็นหมื่นบาท หรืออาจสูงถึง 5-7 หมื่นบาท หลังจากนี้จะรวมชาวบ้านท่านางงาม ไม่อยากให้เสียโอกาส เพราะเรามีต้นทุนจากการเป็นแหล่งต้นกำเนิดสายพันธุ์ ชาวบ้านจะมีรายได้ดีจากการเลี้ยงสุนัขบางแก้วอันเป็นสัตว์เศรษฐกิจต่อไป”