ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น “วิตามิน” และ “อาหารเสริม” กลายเป็นสินค้ายอดนิยมที่พบได้ทั่วไป ทั้งในร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือแม้แต่ในออนไลน์ แต่รู้หรือไม่ว่า ร่างกายของเรามีความต้องการวิตามินแตกต่างกันไปในแต่ละคน และการกินวิตามินเกินความจำเป็นอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายกำลังขาดวิตามินอะไร และควรกินอาหารเสริมอย่างไรให้ปลอดภัย
วิตามินคืออะไร ทำไมร่างกายต้องการ?
วิตามิน (Vitamins) คือสารอาหารที่ร่างกายต้องการในปริมาณเล็กน้อย แต่มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ วิตามินมีทั้งแบบละลายในน้ำ เช่น วิตามินบีรวมและวิตามินซี และแบบละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี อี และเค
ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินได้เอง (ยกเว้นบางชนิด เช่น วิตามินดีที่สังเคราะห์จากแสงแดด) ดังนั้นเราจึงต้องได้รับจากอาหารที่รับประทานทุกวัน เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ และไข่ เป็นต้น
สัญญาณเตือนว่าร่างกายอาจขาดวิตามิน
การสังเกตอาการบางอย่างในชีวิตประจำวันสามารถช่วยบอกได้ว่าร่างกายอาจกำลังขาดวิตามินบางชนิด ซึ่งแม้จะไม่ใช่การวินิจฉัยที่แน่ชัด แต่ก็ช่วยให้เราตระหนักและปรับพฤติกรรมการกินได้ดีขึ้น
1. ผิวแห้ง แตก หรือเป็นสิวบ่อย
อาจเกิดจากการขาด วิตามินเอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบำรุงผิวและเยื่อบุผิว เช่น ผิวหนัง ดวงตา และช่องปาก
แหล่งอาหาร: ตับ ไข่แดง แครอท ฟักทอง ผักใบเขียว
2. เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
เป็นอาการที่อาจบ่งบอกถึงการขาด วิตามินบีรวม โดยเฉพาะวิตามินบี 12 และบี 6 ที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและพลังงาน
แหล่งอาหาร: เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม ธัญพืชไม่ขัดสี
3. ปากแห้ง มีแผลในมุมปาก หรือแผลในปากบ่อย
เป็นสัญญาณของการขาด วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) หรือ บี 3 (ไนอาซิน)
แหล่งอาหาร: นม โยเกิร์ต ตับ เนื้อสัตว์ และถั่ว
4. เหงือกบวม เลือดออกง่าย
อาจเกิดจากการขาด วิตามินซี ที่มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนและเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือด
แหล่งอาหาร: ส้ม ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี บร็อกโคลี
5. ผมร่วง หรือเล็บเปราะ
อาจเกิดจากการขาด ไบโอติน (วิตามินบี 7) ซึ่งช่วยในการเผาผลาญไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต
แหล่งอาหาร: ไข่แดง ถั่ว อะโวคาโด ดอกกะหล่ำ
6. กระดูกเปราะ ปวดกล้ามเนื้อ หรืออ่อนแรง
อาจบ่งบอกว่าร่างกายขาด วิตามินดี ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส
แหล่งอาหาร: ปลาทะเล ไข่แดง ตับ และแสงแดดยามเช้า
7. เลือดออกง่าย หรือแผลหายช้า
อาจเกิดจากการขาด วิตามินเค ซึ่งจำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด
แหล่งอาหาร: ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม บร็อกโคลี

สาเหตุที่ทำให้ร่างกายขาดวิตามิน
- รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
การกินอาหารซ้ำเดิม หรืองดอาหารบางประเภท เช่น คนที่กินมังสวิรัติหรือคีโตเจนิคไดเอท อาจทำให้ขาดวิตามินบางชนิดโดยไม่รู้ตัว - การควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด
ผู้ที่ลดน้ำหนักหรือควบคุมอาหารโดยตัดหมู่สารอาหารบางกลุ่ม เช่น งดไขมันหรืองดคาร์โบไฮเดรต อาจได้รับวิตามินไม่เพียงพอในระยะยาว - การดูดซึมผิดปกติ
โรคทางลำไส้ เช่น ลำไส้อักเสบ หรือผู้ที่ผ่านการผ่าตัดบางชนิด อาจดูดซึมวิตามินได้ไม่ดี - อายุและภาวะทางร่างกาย
ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ป่วยเรื้อรัง มักมีความต้องการวิตามินมากกว่าคนทั่วไป - การใช้ยาบางชนิดต่อเนื่อง
เช่น ยาขับปัสสาวะ ยากันชัก หรือยาปฏิชีวนะบางตัว อาจส่งผลให้ร่างกายสูญเสียวิตามินบางชนิด
วิธีตรวจว่าขาดวิตามินจริงหรือไม่
หากสงสัยว่าร่างกายอาจขาดวิตามิน การตรวจเลือดคือวิธีที่แม่นยำที่สุด เพราะสามารถวัดระดับวิตามินและแร่ธาตุในเลือดได้จริง เช่น
- ตรวจระดับวิตามินดี
- ตรวจระดับวิตามินบี 12
- ตรวจระดับธาตุเหล็กและโฟเลต
โรงพยาบาลและคลินิกสุขภาพหลายแห่งมีบริการตรวจกลุ่มวิตามินและสารอาหารครบชุด เช่นที่ คลินิกเมนสเคป/Menscape Clinic ซึ่งให้คำปรึกษาและตรวจวิเคราะห์ภาวะขาดสารอาหารเฉพาะบุคคล เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจสภาวะร่างกายอย่างแม่นยำก่อนเริ่มการเสริมวิตามิน
ควรกินอาหารเสริมหรือไม่?
“อาหารเสริม” เป็นตัวช่วยที่ดีเมื่อเราไม่สามารถรับสารอาหารได้ครบจากอาหารปกติ เช่น คนที่มีข้อจำกัดในการกิน ผู้ออกกำลังกายหนัก หรือผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหารจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไปที่รับประทานอาหารครบถ้วนและมีสุขภาพดี อาจไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสริมทุกวัน เพราะร่างกายได้รับเพียงพอจากอาหารอยู่แล้ว
ข้อดีของการกินอาหารเสริมอย่างเหมาะสม
- ช่วยเสริมสารอาหารที่ขาดจากอาหาร
- ป้องกันภาวะขาดวิตามินในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
- สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและพลังงานของร่างกาย
แต่ในทางกลับกัน หากกินโดยไม่มีความจำเป็นหรือเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน

อาหารเสริมอันตรายไหม?
หลายคนมองว่าอาหารเสริมไม่มีอันตราย เพราะเป็น “สารอาหาร” ที่ร่างกายต้องการอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริง การกินวิตามินเกินขนาดก็อาจเป็นอันตรายได้เช่นเดียวกับยา
ตัวอย่างของการได้รับวิตามินเกินขนาด
- วิตามินเอเกินขนาด
ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ เวียนหัว และในระยะยาวอาจส่งผลต่อตับ - วิตามินดีเกินขนาด
ทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงเกินไป ส่งผลให้ไตทำงานหนัก เกิดนิ่วในไต - วิตามินอีเกินขนาด
อาจรบกวนการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดออกง่าย - วิตามินซีเกินขนาด
แม้จะละลายในน้ำ แต่หากกินเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน อาจทำให้ท้องเสียหรือเกิดนิ่วในไตได้
ดังนั้น การกินอาหารเสริมควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกินยาประจำ เพราะวิตามินบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยา
เคล็ดลับการกินอาหารเสริมอย่างปลอดภัย
- ตรวจสุขภาพก่อนเริ่มกิน
ควรทราบก่อนว่าร่างกายขาดอะไรจริงหรือไม่ เพื่อป้องกันการกินเกิน - เลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน
มองหาเครื่องหมายรับรองจาก อย. หรือหน่วยงานที่เชื่อถือได้ - อ่านฉลากอย่างละเอียด
ตรวจปริมาณวิตามินต่อเม็ด วันที่ผลิต วันหมดอายุ และคำเตือน - อย่าเชื่อคำโฆษณาเกินจริง
อาหารเสริมไม่ใช่ยารักษาโรค ไม่สามารถรักษามะเร็ง ลดน้ำหนัก หรือเพิ่มภูมิคุ้มกันแบบทันตาเห็นได้ - กินควบคู่กับอาหารที่มีประโยชน์
เพราะวิตามินจะดูดซึมได้ดีขึ้นเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่เหมาะสม เช่น วิตามินเอและดีควรกินพร้อมอาหารที่มีไขมัน - ดื่มน้ำมาก ๆ
โดยเฉพาะเมื่อกินวิตามินละลายในน้ำ เช่น วิตามินซีหรือบีรวม เพื่อช่วยให้ร่างกายขับส่วนเกินออก
สรุป: รู้จักร่างกายตัวเองก่อนเสริมวิตามิน
การดูแลสุขภาพไม่ใช่เพียงแค่การกินอาหารเสริมหรือวิตามินเท่านั้น แต่ควรมองให้ครอบคลุมทั้งการกินอาหารที่สมดุล การควบคุมอาหาร การพักผ่อน และการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การตรวจสุขภาพเป็นประจำสามารถช่วยให้คุณรู้ได้ว่าร่างกายขาดสารอาหารหรือวิตามินใด และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
หากคุณเข้าใจความต้องการของร่างกายและเลือกใช้วิตามินอย่างมีเหตุผล ก็จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรง สดใส และมีพลังในทุกวันได้โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมเกินจำเป็น
สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการกินอาหารครบ 5 หมู่ พักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หากทำได้ครบถ้วนแล้ว วิตามินหรืออาหารเสริมก็เป็นเพียง “ตัวช่วยเสริม” ไม่ใช่สิ่งจำเป็นหลักของการมีสุขภาพดีครับ






